ภิกษุ ท. ! เราได้เที่ยวไปแล้วเพื่อแสวงหา รสอร่อย (คือเครื่องล่อใจสัตว์)
ของโลก. เราได้พบรสอร่อยของโลกนั้นแล้ว. รสอร่อยในโลกมีประมาณเท่าใด,
เราเห็นมันอย่างดีด้วยปัญญาของเรา เท่านั้น.
ภิกษุ ท. ! เราได้เที่ยวไปแล้วเพื่อแสวงหา (ให้พบ) โทษ (คือความร้าย กาจ) ของโลก.
เราได้พบโทษของโลกนั้นแล้ว. โทษในโลกมีเท่าใด, เราเห็นมัน
อย่างดีด้วยปัญญาของเรา เท่านั้น.
ภิกษุ ท. ! เราได้เที่ยวไปแล้วเพื่อแสวงหา อุบายเครื่องออกจากโลกของโลก.
เราได้พบอุบายเครื่องออกจากโลกนั้นแล้ว. อุบายเครื่องออกจาก
โลกมีอยู่เท่าใด, เราเห็นมันอย่างดีด้วยปัญญาของเรา เท่านั้น
ภิกษุ ท. ! ตลอดเวลาเพียงไร ที่เรายังไม่รู้เท่ารสอร่อยของโลกว่าเป็นรสอร่อย (เครื่องล่อใจสัตว์),
ไม่รู้จักโทษของโลกโดยความเป็นโทษ, ไม่รู้จักอุบาย
เครื่องออกว่าเป็นอุบายเครื่องออก ตามที่เป็นจริง, ตลอดเวลาเพียงนั้นแหละ
เรายังไม่รู้สึกว่าเป็นผู้ตรัสรู้พร้อมเฉพาะ ซึ่งอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณ ในโลก
พร้อมทั้งเทวดา มาร พรหม ในหมู่สัตว์พร้อมทั้งสมณพราหมณ์ เทวดา
พร้อมทั้งมนุษย์.
ภิกษุ ท. ! เมื่อใดแล เราได้รู้ยิ่งซึ่งรสอร่อยของโลกว่าเป็นรสอร่อย,
รู้โทษของโลกโดยความเป็นโทษ, รู้อุบายเครื่องออกของโลก ว่าเป็นอุบายเครื่องออก
ตามที่เป็นจริง, เมื่อนั้นแหละ เรารู้สึกว่าเป็นผู้ตรัสรู้พร้อมเฉพาะซึ่งอนุตตรสัมมา-
สัมโพธิญาณ ในโลกพร้อมทั้งเทวดา มาร พรหม หมู่สัตว์ พร้อมทั้งสมณพราหมณ์
เทวดา พร้อมทั้งมนุษย์.
ก็แหละญาณทัศนะเครื่องรู้เครื่องเห็นเกิดขึ้นแก่เราว่า ความหลุดพ้น
ของเราไม่กลับกำเริบ,
บาลี ทุติยสูตร สัมโพธิวรรค ตติยปัณณาสก์ ติก. อํ. ๒๐/๓๓๓/๕๔๔,
บาลีนี้และบาลีต่อไป ที่ทรงเล่านี่เอง แสดง ชัดเจนว่าทำไมจึงออกผนวช. คือทรงเห็นว่าถ้าไม่ออก ก็ไม่มีโอกาสแสวงสิ่งที่ทรงประสงค์จะรู้.(พุทธประวัติจากพระโอษฐ์๗