"“อานนท์ ! ความคิดอาจมีแก่พวกเธออย่างนี้ว่า ธรรมวินัยของพวกเรามีพระศาสดาล่วงลับไปแล้ว พวกเราไม่มีพระศาสดา ดังนี้ อานนท์ ! พวกเธออย่าคิดอย่างนั้น. อานนท์ ! ธรรมก็ดี วินัยก็ดี ที่่เราแสดงแล้ว บัญญัติแล้ว แก่พวกเธอทั้งหลาย ธรรมวินัยนั้น จักเป็นศาสดาของพวกเธอทั้งหลาย โดยกาลล่วงไปแห่งเรา.”"
วันเสาร์ที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555
การให้ทานตามกาล (ผลบุญของผู้ให้ และ ผู้อนุโมทนา)
ดูกรภิกษุทั้งหลาย กาลทาน ๕ ประการนี้ ๕ ประการเป็นไฉน คือ
ทายก"(ผู้ให้ทาน) ย่อมให้ทานแก่ผู้มาสู่ถิ่นของตน ๑
ทายกย่อมให้ทานแก่ผู้เตรียมจะไป ๑
ทายกย่อมให้ทานในสมัยข้าวแพง ๑
ทายกย่อมให้ข้าวใหม่แก่ผู้มีศีล ๑
ทายกย่อมให้ผลไม้ใหม่แก่ผู้มีศีล ๑
ดูกรภิกษุทั้งหลาย กาลทาน๕ ประการนี้แล ฯ
ผู้มีปัญญา รู้ความประสงค์ ปราศจากความตระหนี่
"ย่อมให้ทานในกาลที่ควรให้"
เพราะผู้ให้ทานตามกาลในพระอริยเจ้าทั้งหลาย ผู้ปฏิบัติซื่อตรง ผู้มีใจคงที่
เป็นผู้มีใจผ่องใสทักขิณาทานจึงจะมีผลไพบูลย์
ชนเหล่าใดย่อมอนุโมทนาหรือช่วยเหลือในทักขิณาทาน นั้น
ทักขิณาทานนั้นย่อมไม่มี ผลบกพร่อง เพราะการอนุโมทนาหรือการช่วยเหลือนั้น
แม้พวกที่อนุโมทนา หรือช่วยเหลือ ย่อมเป็นผู้มีส่วนแห่งบุญเพราะฉะนั้น
ผู้มีจิตไม่ท้อถอยจึงควรให้ทานในเขตที่มีผลมาก
บุญทั้งหลายย่อมเป็นที่พึ่งของสัตว์ทั้งหลาย ในปรโลก ฯ
กาลทานสูตร พระสุตตันตปิฎก เล่มที่ ๑๔ อังคุตตรนิกาย ปัญจก-ฉักกนิบาต หัวข้อ 36
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ขอบพระคุณคณะทำงานทุกท่าน ที่ช่วยกันเผยแผ่คำตถาคต ให้ผู้มีธุลีในดวงตาน้อย ได้สดับธรรมอันเป็นเอก สาธุ..!
ตอบลบ