วันศุกร์ที่ 19 สิงหาคม พ.ศ. 2554

จิตมีตัณหา เรียกว่าอยู่สองคน ,จิตไม่มีตัณหา เรียกว่าอยู่คนเดียว


“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! ด้วยเหตุเพียงเท่าไรหนอ ภิกษุ
จึงชื่อว่า เป็นผู้มีการอยู่อย่างมีเพื่อนสอง พระเจ้าข้า ?”


มิคชาละ ! รูป ทั้งหลายอันจะพึงเห็นได้ด้วย
จักษุ อันเป็นรูปที่น่าปรารถนา น่ารักใคร่ น่าพอใจ มี
ลักษณะน่ารัก เป็นที่เข้าไปตั้งอาศัยอยู่แห่งความใคร่
เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัดย้อมใจมีอยู่. ถ้าหากว่าภิกษุ
ย่อมเพลิดเพลิน พร่ำสรรเสริญ สยบมัวเมา ซึ่งรูป นั้น
ไซร้ ;
แก่ภิกษุผู้เพลิดเพลิน พร่ำสรรเสริญ สยบ มัว
เมา ซึ่งรูปนั้นอยู่ นั่นแหละ, นันทิ (ความเพลิน) ย่อม
เกิดขึ้น.
เมื่อ นันทิ มีอยู่, สาราคะ (ความพอใจอย่างยิ่ง)
ย่อมมี ;
เมื่อ สาราคะ มีอยู่, สัญโญคะ (ความผูกจิตติดกับ
อารมณ์) ย่อมมี :


มิคชาละ ! ภิกษุผู้ประกอบพร้อมแล้ว ด้วย
การผูกจิตติดกับอารมณ์ด้วยอำนาจแห่งความเพลิน
นั่นแล เราเรียกว่า “ผู้มีการอยู่อย่างมีเพื่อนสอง”.
(ในกรณีแห่งเสียงทั้งหลายอันจะพึงได้ยินด้วยหูก็ดี,
กลิ่นทั้งหลายอันจะพึงดมด้วยจมูกก็ดี, รสทั้งหลายอันจะพึงลิ้มด้วย
ลิ้นก็ดี, โผฏฐัพพะทั้งหลายอันจะพึงสัมผัสด้วยผิวกายก็ดี, และ
ธรรมารมณ์ทั้งหลายอันจะพึงรู้แจ้งด้วยใจก็ดี, พระผู้มีพระภาคเจ้า
ได้ตรัสไว้มีนัยยะอย่างเดียวกันกับในกรณีแห่งรูปทั้งหลายอันจะพึง
เห็นด้วยจักษุ).

มิคชาละ ! ภิกษุผู้มีการอยู่ด้วยอาการอย่างนี้
แม้จะส้องเสพเสนาสนะอันเป็นป่าและป่าชัฏ ซึ่งเงียบ
สงัด มีเสียงรบกวนน้อย มีเสียงกึกก้องครึกโครม
น้อย ปราศจากลมจากผิวกายคน เป็นที่ทำการลับของ
มนุษย์ เป็นที่สมควรแก่การหลีกเร้น เช่นนี้แล้ว ก็
ตาม, ถึงกระนั้น ภิกษุนั้นเราก็ยังคงเรียกว่า ผู้มีการอยู่
อย่างมีเพื่อนสองอยู่นั่นเอง.
ข้อนั้นเพราะเหตุไรเล่า ?

ข้อนั้นเพราะเหตุว่า ตัณหานั่นแล เป็นเพื่อน
สองของภิกษุนั้น ; ตัณหานั้น อันภิกษุนั้น ยังละไม่ได้
แล้ว เพราะเหตุนั้น ภิกษุนั้นเราจึงเรียกว่า “ผู้มีการอยู่
อย่างมีเพื่อนสอง” ดังนี้.
“ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! ด้วยเหตุเพียงเท่าไรหนอแล
ภิกษุจึงชื่อว่า เป็นผู้มีการอยู่อย่างอยู่ผู้เดียว พระเจ้าข้า ?”


มิคชาละ ! รูป ทั้งหลายอันจะพึงเห็นได้ด้วย
จักษุ เป็นรูปที่น่าปรารถนา น่ารักใคร่ น่าพอใจ มี
ลักษณะน่ารัก เป็นที่เข้าไปตั้งอาศัยอยู่แห่งความใคร่
เป็นที่ตั้งแห่งความกำหนัดย้อมใจ มีอยู่, ถ้าหากว่า
ภิกษุย่อมไม่เพลิดเพลิน ไม่พร่ำสรรเสริญ ไม่สยบ มัว
เมา ซึ่งรูปนั้นไซร้,
แก่ภิกษุผู้ไม่เพลิดเพลิน ไม่พร่ำสรรเสริญ ไม่
สยบมัวเมา ซึ่งรูปนั้น นั่นแหละ, นันทิ (ความเพลิน)
ย่อมดับ ;
เมื่อ นันทิ ไม่อยู่, สาราคะ (ความพอใจอย่างยิ่ง)
ย่อมไม่มี ;
เมื่อ สาราคะ ไม่มีอยู่, สัญโญคะ (ความผูกจิตติด
กับอารมณ์) ย่อมไม่มี :

มิคชาละ ! ภิกษุผู้ ไม่ประกอบพร้อมแล้ว
ด้วยการผูกจิตติดกับอารมณ์ด้วยอำนาจแห่งความเพลิน
(นันทิ) นั่นแล เราเรียกว่า “ผู้มีการอยู่อย่างอยู่ผู้เดียว”.
(ในกรณีแห่งเสียงทั้งหลายอันจะพึงได้ยินด้วยหูก็ดี, กลิ่น
ทั้งหลายอันจะพึงดมด้วยจมูกก็ดี, รสทั้งหลายอันจะพึงลิ้มด้วยลิ้นก็ดี,
โผฏฐัพพะทั้งหลายอันจะพึงสัมผัสด้วยผิวกายก็ดี, และธรรมารมณ์
ทั้งหลายอันจะพึงรู้แจ้งด้วยใจก็ดี, พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสไว้มีนัยยะ
อย่างเดียวกันกับในกรณีแห่งรูปทั้งหลายอันจะพึงเห็นด้วยจักษุ).

มิคชาละ ! ภิกษุผู้มีการอยู่ด้วยอาการอย่างนี้
แม้อยู่ในหมู่บ้าน อันเกลื่อนกล่นไปด้วยภิกษุ ภิกษุณี
อุบาสก อุบาสิกาทั้งหลาย, ด้วยพระราชา มหาอำมาตย์
ของพระราชาทั้งหลาย, ด้วยเดียรถีย์ สาวกของ
เดียรถีย์ทั้งหลาย ก็ตาม ; ถึงกระนั้น ภิกษุนั้นเรา ก็
เรียกว่า ผู้มีการอยู่อย่างอยู่ผู้เดียวโดยแท้.

ข้อนั้นเพราะเหตุไรเล่า ?
ข้อนั้นเพราะเหตุว่าตัณหานั่นแล เป็นเพื่อน
สองของภิกษุนั้น ; ตัณหานั้น อันภิกษุนั้น ละเสียได้
แล้ว เพราะเหตุนั้น ภิกษุนั้นเราจึงเรียกว่า “ผู้มีการอยู่
อย่างอยู่ผู้เดียว”, ดังนี้ แล.

สฬา.สํ. ๑๘ / ๔๓ – ๔๔ / ๖๖-๖๗.

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น